วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ซอฟต์แวร์ (software)
ซอฟแวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร เป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามรถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าง จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟล็ชไดร์ ฮาร์ดิสก์ เป็นต้น

หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่ เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่อง คอมพิวเตอร์สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท

ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ซอฟต์แวร์ระบบ(system software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software) และซอฟต์แวร์ใช้เฉพาะ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ(system software)
ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำไปยังเครื่องพิมพ์ จักการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำลอง system softwareหรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS,Windows,Unix,Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น Basic,Fortran,Pascal,Cobol,Cเป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton's Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน

หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1) ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้กดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกอื่นๆ เช่น เม้าส์ ลำโพงเป็นต้น
2)ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3)ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการในสาระบบ(Directory)ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็ฯ ระบบปฏิบัติการและตัวแปลภาษา

ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.ระบบปฏิบัติการ( Operating System: OS)
2.ตัวแปลภษา

1.ระบบปฏิบัติการ หรือที่เรียกย่อๆว่า โอเอส( Operating System: OS)เป็น ซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลี นุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
         1)ดอส (Disk Operating System:DOS)เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์
         2)วินโดวส์(Windows) เป็นระบบปฏิบัติงานการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้
จากเมส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้วานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่องที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
         3) ยูนิกซ์(Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด(open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปรกณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ยังถูกออกแบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้(Muliusers)และสามารถทำงานได้หลายๆงานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า(multitasking)ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
         4) ลีนุกซ์(linux) เป็นระบบปฏิบัติการทมี่พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่าย
โปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลุนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว(GNU)และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี(Free Ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
 ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล(PC lntel)ดิจดตอล(Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค(SUNSPARC) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหลายก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมาก
        5)แมคอินทอช(macintosh)เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆๆ
นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็จแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา

ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งานสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด ด้วยกัน คือ
       1. ประเภทใช้งานเดียว(Singgle-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็ก
       2. ประเภทใช้หลายงาน(Multi-tasking)ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดได้ในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows 98ขึ้นไป และ UNlX เป็นต้น
        3.ประเภทใช้งานหลายคน(Multi-user)ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์จนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตัวเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบปฏิบัติการ windows NT และ  UNlX เป็นต้น


2. ตัวแปลภาษา
 การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
 ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจง่าย และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
 ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic,Pascal,Cและภาษาโลโก เป็นต้น
  นอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจับันอีกมาก ได้แก่F Fortoan,cobol,และภาษาอาร์พีจี

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวณผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ อักษร และเสียง

ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์  
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
หมายถึง ส่วนประกอบเป็น ๕ เครื่อง คอมพิวเตอร์แล่งออกเป็น ๕ ส่วน

ส่วนที่ ๑ หน่วยรับข้อมูลเข้า
เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ ได้แก่
แป้นอักขระ
แผ่น ซืดื
ไมโครโฟน

ส่วนที่ ๒ หน่วยประมวณผลกลาง
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่ง

หน่วยที่ ๓ หน่วยความจำ
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมมูลเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลางและเก็บผลลัพธ์ที่ได้จาการประมวลผลปล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล

ส่วนที่ ๔ หน่วยยแสดงผล
ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว

ส่วนที่ ๕ อุปกรณ์ต่อพ่วง
เป็นอุปกรณืที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม แผนวงจรเชื่อมต่อ เครื่อข่าย เป็นต้น

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
๑. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวณผลทำงานได้อย่างรวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในการคำนวณต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
๒. มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
๓. มีความถูกต้องและแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
๔. เก็บข้อมูลไว้ได้นาน ไม่เปลื่องเนื้อที่ในการเก็บเอกสาร
๕. สามารถย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

ระบบคอมพิวเตอร์
หมายถึง กรรมวิธีคอมพิวเตอร์ทำการใดๆ กับข้อมูลให้อย่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความเหมะสมของผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น
**การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวณผลระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

องค์ประกอบที่สำคัญของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ฮาร์แวร์ หรือส่วนเครื่อง
๒.ซอฟแวร์ หรือส่วนชุดคำสั่ง
๓. ข้อมูล
๔.บุคลากร

ฮาร์แวร์
หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์แวร์ประกอบด้วย ส่วนที่สำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนประมวณผล
๒. ส่วนความจำ
๓. อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก
๔. อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล


ส่วนที่ ๑ ซีพียู
เป็นอุปกรณ์ฮาร์แวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง
มีหน้าที่หลักในการควบคุมของการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวณผลและเปรียบเทียลบข้อมูลโดยทำการเปลี่ยนแปลงสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ของ ซีพียู ได้นั้นพิจารณาจากความเร็วของการทำงานการรับส่งข้อมูลและการเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของ ซีพียู ขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะ ที่เรียกสัญญาณนิฬิกาเป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน ๑ วินาที มีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์ เช่น สัญญาณความเร็ว ๒ ๑ ล่านรอบใน ๑ วินาที เทียบเท่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา ๑ จิกะเฮิร์ตซ์

ส่วนที่ ๒ หน่วยความจำ
จำแนกแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. หน่วยความจำหลัก
๒. หน่วยความจำสำรอง

๑.หน่วยความจำหลัก
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกข้อมูลแหล่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ ในการประมวลผลภายหลัง โดย ซีพียู ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลเข้าและออกจากหน่วยความจำ การทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานและประมวณผลและเก็บข้อมูล ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนของพื้นที่ คือจำนวนข้อมูลได้สูงสุด
**พื้นที่หน่วยความจำมีมาก จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น
 หน่วยประมวณฝลกลาง
ความหมาย ทางด้านฮาร์แวร์ ๒ อย่าง คือ
๑. ชิป ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
๒. ตัวกล่องเครื่องมี ซีพียู บรรจุอยู่

หน่วยความจำหลัก
แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ หน่วยความจำแบบ "แรม" และหน่วยความจำแบบ "รอม"
๑.๑ หน่วยความจำแบบ "แรม"
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้า เพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูล จะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำ จะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้

ลักษณะของหน่วยความจำ "แรม"
๑.๒ หน่วยความจำแบบ "รอม"
เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นอยู่กับไฟฟ้าที่ป้อนกับวงจร ยอมให้ ซีฑียู อ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช่งานอย่างเดียวไสมารถเก็บข้อมูลไว้ได้โดยง่ายส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน

ชิปหน่วยความจำแบบ "รอม"
หน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำสำรอง หรือหน่วยเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลัก คือ
๑. ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้แมลไว้ใช้ในอนาคต
๒. ใช้ในการเก็บข้อมูลโปรแกรมอย่างถาวร
๓. ใช้เป็นสื่อส่งผ่านข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง


ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง
จะช่วยแก้ไขปัญหาการสูญหายของข้อมูล อันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาประมวณผล เมื่อเรียนร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักประเภทแรม หากปิดเคร่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำสำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้ในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดิสก์ แผ่นบันทึก ชิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำ แบบแฟลช หน่วยความจำสำรองนี้ ถึงจะไม่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เป็นปกติ

 ส่วนแสดงผลข้อมูล
คือ ส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่เราสามารถแสดงได้ อุปกรณืที่แสดงผลข้อมูล ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์ภาพ  และ ลำโพง เป็นต้น

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์
หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว หรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบ โครงสร้างของหน่วยคอมพิวเตอร์

ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์
๑. ฝ่ายวิเคราะห์ และออกแบบระบบงาน
๒. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
๓. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ

บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
๑. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์
๒. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน
๓. โปรแกรมเมอร์
๔. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
๕. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล

นักวิเคราะห์ระบบงาน
ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่
โปรแกรมเมอร์
นำระบบงานให่ที่นักวิเคราะห์ ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม
วิศวะระบบ
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษษฮาร์แวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามความต้องการ
พนักงานปฏิบัติการ
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือ ภารกิจ ประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์

๑. ผู้จัดการระบบ คือผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
๒. นักวิเคราะห์ ระบบ คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อใช้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
๓. โปรแกรมเมอร์ คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้
๔. ผู้ใช้ คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องการเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้โปรแกรม เพื่อใช้โปรแกรมที่มีอยู่และสามารถทำงานได้ตามความต้องการ


ซอฟต์แวร์ (software)
ซอฟแวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร เป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามรถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าง จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟล็ชไดร์ ฮาร์ดิสก์ เป็นต้น

หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่ เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่อง คอมพิวเตอร์สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท

ประเภทของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ซอฟต์แวร์ระบบ(system software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software) และซอฟต์แวร์ใช้เฉพาะ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ(system software)
ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำไปยังเครื่องพิมพ์ จักการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำลอง system softwareหรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS,Windows,Unix,Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น Basic,Fortran,Pascal,Cobol,Cเป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton's Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน

หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1) ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้กดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกอื่นๆ เช่น เม้าส์ ลำโพงเป็นต้น
2)ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3)ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการในสาระบบ(Directory)ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็ฯ ระบบปฏิบัติการและตัวแปลภาษา

ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.ระบบปฏิบัติการ( Operating System: OS)
2.ตัวแปลภษา

1.ระบบปฏิบัติการ หรือที่เรียกย่อๆว่า โอเอส( Operating System: OS)เป็น ซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลี นุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
         1)ดอส (Disk Operating System:DOS)เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์
         2)วินโดวส์(Windows) เป็นระบบปฏิบัติงานการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้
จากเมส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้วานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่องที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
         3) ยูนิกซ์(Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด(open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปรกณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ยังถูกออกแบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้(Muliusers)และสามารถทำงานได้หลายๆงานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า(multitasking)ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
         4) ลีนุกซ์(linux) เป็นระบบปฏิบัติการทมี่พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่าย
โปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลุนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว(GNU)และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี(Free Ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
 ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล(PC lntel)ดิจดตอล(Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค(SUNSPARC) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหลายก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมาก
        5)แมคอินทอช(macintosh)เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆๆ
นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็จแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา

ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งานสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด ด้วยกัน คือ
       1. ประเภทใช้งานเดียว(Singgle-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็ก
       2. ประเภทใช้หลายงาน(Multi-tasking)ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดได้ในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows 98ขึ้นไป และ UNlX เป็นต้น
        3.ประเภทใช้งานหลายคน(Multi-user)ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์จนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตัวเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบปฏิบัติการ windows NT และ  UNlX เป็นต้น

2. ตัวแปลภาษา
 การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
 ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจง่าย และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
 ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic,Pascal,Cและภาษาโลโก เป็นต้น
  นอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจับันอีกมาก ได้แก่F Fortoan,cobol,และภาษาอาร์พีจี
 ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Applicafion software)
2.2ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Applicafion software)
  ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดการบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบ เว็บไซต์ เป็นต้น
 ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกด้ายเป็น 2 ประเภท คือ
1.ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ(Proprietary Software)
2.ซอฟแวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป(Packaged Software)มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ(Customized package) และโปรแกรมมาตรฐาน(Standard Package)

ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป็น3กลุ่มใหญ่ๆดังนี้
1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ(Business)
2.กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย(Graphic and Multimedia)
3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บ(Web and Communications)
มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ(Customized  Packaged)และโปรแกรมมาตรฐาน(Standard Packaged)


 กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย
         ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop
โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV              ต่อ>
 โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director
 โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร

กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
   โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ
ปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
            การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก
เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษา คอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยค
ข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย
บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการ- คำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บาง
ภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล

ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
 เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง
ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ใน- การติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย

ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
      เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
   การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที
แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้
ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัว
อักษร
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)
      เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์
   แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง

ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)
           เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้
ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็น
ประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรม
สามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์
ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียน
โปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูง
ใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้
เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ
คอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์
(Interpreter)
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียน
เป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็น
ภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์
ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้ว
ให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จ
แล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อ
แตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรี
เตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต


♥ การทำงานของระบบ network และ Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 1.เครือข่ายเฉพาะที่
 เป็นเครือข่ายที่มักพบเห็นกันในองค์กรโดยส่วยใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวงแลนจะอยู่พืท้นที่ใกล้เคียงกัน




2.เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)
เป็นกลุ่งของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน เป็นต้น
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง
 เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับ โดยมีการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และMAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดี๋ยว ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก

     การจัดระบบการทำงานของเครื่อข่ายมีระบบโครงสร้างของเครื่อข่ายอันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ ในเครื่อข่ายรวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
1.เครื่อข่ายแบบดาว
2.เครือข่ายแบบวงแหวน
3.เครื่อข่ายแบบบัส
4.เครื่อข่ายแบบต้นไม้

รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย มีทั้งหมด 4 รูปแบบ




1. แบบดาว เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกล


ลักษณะการทหงานของเครือข่ายแบบดาว
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉกโดยมีสถานีกลาง หรือ ฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครื่อข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคลุมการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้สถานีการยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายในเครื่อข่ายแบบดาวจะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาติให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครื่อข่ายแบบดาว


2.แบบวงแหวน เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยงของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านนี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง หรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลไปยังเครื่อองขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวงหากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น

  ลักษณะการทำงานเครื่องข่ายแบบวงแหวน
เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลมข้อมูลข่าวสารจะถูกส่งจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่งวนอยู่ในเครื่อข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน (ในระบบเครื่อข่ายรูปวงแหวนบางระบบสามารถส่งข้อมูลได้ 2 ทิศทาง) ในแต่ละโหนดหรือสถานนีจะมี รีพีตเตอร์ ประจำโหนดหนึ่งตัวซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสารในหัวข้อของ แพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนดและมีหน้าที่รันแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ ของโหนดถัดไป


3. เครื่อข่ายแบบบัส
เป็นเครื่อข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆด้วยสายเคเบิ้ลยาวต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์กับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์พียงตัวเดี๋ยวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจเเบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด


ลักษณะการทำงานเครื่องข่ายแบบบัส
  อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือดหนดทุกโหนดในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า บัส เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปหยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่ายจะต้องตรวจสอบให้เเน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถส่งข้อมูขออกไปได้ ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดี๋ยว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆไปเรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นข้อมูลของตนเองหรือไม่ หากไม่ใช่ก็ปล่อยข้อมูลนั้นวิ่งผ่านไป

4.เครือข่ายแบบต้มไม้ (Terr Nrtwork)


การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะหมายความรวมถึงการสื่อมารและการแบ่งปันการใช้ข้อมูลระหว่างบุคคลด้วยซึ่งทั้งนี้คือระบบงานของเครือข่าย

รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน ได้เป็น 3 ประเภทคือ
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง(Cent)
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
 

1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
 เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน โดยส่งคำสั่งต่างๆ มาประมวลผลที่เครื่องกลางซึ่งมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์



2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-peer
แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่ายPeer-to-peer จะมีความเทียบเท่ากันที่จะสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้ เช่น การใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย

 
3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
ระบบClient/Serverสามารถสับสนุให้มีดครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามารถเชื่อต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้หลายสถานี ทำงานโดยมีเครื่องServer ที่ให้บริการเป็นอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆจากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครื่อข่ายแบบรวมศูนย์กลาง แต่สิ่งที่แตกคต่างกันน้นก็คือ เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการ ระบบClient/Serverในราคาที่ไมแพง
    ระบบเครือข่ายแบบClient/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูงสนับสนุนการทำงานแบบMultitrocessor สามารถพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถ